โทรทัศน์หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าทีวีนั้น เป็นเครื่องรับสัญญาณคลื่นความความรู้ ข่าวสาร และความบันเทิงมาทุกยุกทุกสมัย ภาพครอบครัวที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาหน้าจอทีวีนั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่สังคมอาจมองว่าเป็นการสร้างความอบอุ่นและสัมพันธภาพที่ดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว บางครอบครัวมีเครื่องทีวีประจำในห้องนอนของลูกๆ พอเด็กๆ ตื่นนอนก็ต้องเปิดทีวีเป็นอันดับแรก หรือบางบ้านมีลูกน้อยกำลังหัดคลานหัดเดินก็ปล่อยไว้หน้าจอทีวีด้วยเชื่อว่าเด็กจะได้เห็นตัวการ์ตูนในทีวีเป็นเพื่อนไปพลางๆ ในขณะที่พ่อแม่ต้องทำภาระกิจอื่น
เนื่องจากช่วงเด็กแรกเกิดจนถึง 3 ปี จะเป็นช่วงที่เรียนรู้ภาษา, ทักษะทางสังคมและร่างกายมีพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด โครงสร้างและการทำงานของสมองมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในตัวเด็กเองและสิ่งแวดล้อมที่เด็กเรียนรู้ล้วนมีผลต่อความยืดหยุ่นของสมอง (brain plasticity) ที่จะเป็นตัวเบ้าหลอมโครงสร้างและการทำงานของสมองในอนาคตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การรับชมทีวีจึงมีผลต่อการเรียนรู้เด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Dr Aric Sigman ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น Associate Fellow of the British Psychological Society ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาที่ศึกษาผลของทีวีต่อสุขภาพมาเป็นเวลานานได้แถลงต่อคณะสมาชิกวุฒิสภาของสหราชอาณาจักรในการประชุมที่จัดโดยองค์กรด้านสื่อสารมวลชน Mediawatch-UK
โดยผลเสียของการดูทีวีที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน ได้แก่ รูปแบบการนอนหลับที่ผิดปกติ (irregular sleep pattern) ลดอัตราเผาผลาญพลังงานในขณะพัก (resting metabolic rate) จนอาจทำให้เกิดโรคอ้วน เวลาที่เด็กพูดกับผู้ใหญ่ลดน้อยลง เด็กมีทักษะทางสังคมแย่ลง และที่สำคัญคือเด็กมีสมาธิ (concentration) และความจดจ่อ (attention) แย่ลง จนอาจทำให้เกิดโรคความจดจ่อเสื่อมหรือสมาธิสั้น (attention deficit hyperactivity disorder) และทีวีอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคออติซึมโดยเมื่อปลายปีที่แล้ว Cornell University, Indiana University และ Purdue University ได้ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการดูทีวีและการเกิดอาการออติซึมในเด็กอเมริกัน
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพในจอทีวีที่เคลื่อนไหวค่อนข้างเร็วจะลดความสามารถของเด็กในการจดจ่อสนใจ ขาดสมาธิในการเรียนรู้ นอกจากนี้ทีวียังมีแสงสว่างจ้า สีสรรมากเกินไป เต็มไปด้วยตัวกระตุ้นเทียมที่ไม่มีจริงในชีวิตตามธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการพัฒนาสมองทั้งในด้านโครงสร้างและหน้าที่การทำงานซึ่งจะส่งผลในระยะยาวเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ข้อเสนอของ Dr Aric Sigman
เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี ไม่ควรให้ดูทีวี
เด็กอายุ 3-7 ปี ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 30-60 นาทีต่อวัน
เด็กอายุ 7-12 ปี ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง
เด็กอายุ 12-15 ปี ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง
เด็กอายุ 16 ปีขึ้นไป ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง
ทีวีเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเกือบจะทุกบ้าน ให้สาระและความบันเทิงและเป็นเพื่อนคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน รายการทีวีในเมืองไทยมีส่วนช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยมากน้อยเพียงใด ผู้ปกครองสนใจอิทธิพลของทีวีที่มีต่อลูกหลานตัวเองหรือไม่ อย่าปล่อยให้เด็กเล็กอยู่หน้าจอทีวีตลอดเลยครับ พาพวกเขาไปเรียนรู้ธรรมชาตินอกบ้าน สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น ถึงแม้เรายังไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าทีวีเป็นตัวการทำลายสุขภาพเด็ก แต่การจำกัดช่วงเวลาการดูทีวีและส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่หลากหลายก็จะช่วยให้สมองของลูกรักได้มีการเรียนรู้อย่างสมดุลและป้องกันปัญหาที่ตัวเราคาดไม่ถึงได้
แหล่งข้อมูล http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=neuroguy&group=2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น