วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ประชาสัมพันธ์ งานคอมพิวเตอร์ได้ติดตั้งสื่อ CAI ของสพฐ เอาไว้บนระบบแลน

วิธีการใช้งาน ให้ผู้ใช้เชื่อมต่อเข้าไปที่เครื่องอีเลรินนิ่งที่ http://172.16.0.11:8080/obeclms  และคลิกเลือกที่เมนูสื่อการเรียนรู้ดังรูป

กลุ่มสาระที่ติดตั้งไว้ได้แก่  กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์  ศิลปะ  ภาษาต่างประเทศ และสุขศึกษาพลศึกษา

ตัวอย่างสื่อการเรียนรู้


"หามาแบ่งปัน" คู่มือการเรียนรู้ พฤกษศาสตร์เบื้องต้น

ดาวน์โหลดคู่มือ คลิกที่นี่

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

“ครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง”

 “ครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง”

เรื่องราวชีวิตของ ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี รางวัลที่มอบให้กับครูที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตศิษย์ และเป็นผู้มีคุณูปการต่อวงการศึกษาไทย ซึ่งรางวัลนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน  
 
คนแรก คือ “ครูเฉลิมพร พงศ์ธีระวรรณ” ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี คนแรกของประเทศไทย ครูวิทยาศาสตร์ ผู้สอนวิชาฟิสิกส์ แห่งโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา ผู้คิดค้นเทคนิควิธีการสอนจากวิชาที่ยาก ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ จนเปลี่ยนความคิดและทัศนคติของเด็กๆ หลายคนให้หันมาชอบและสนใจวิชาวิทยาศาสตร์ และนำวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือในการ “สร้างคน” ครูผู้ปั้นดิน ให้เป็นดาว จนสามารถคว้ารางวัลโครงงานวิทยาศาสตร์ทั้งในเวทีระดับประเทศและระดับโลกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งไม่เพียงเป็นครูที่สร้างคน ด้วยการสอนคิด แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจในชีวิตแก่ลูกศิษย์  
 
ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ เจ้าของรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ในระดับรางวัลคุณากร “ครูชาตรี สำราญ” ครูภาษาไทยวัยเกษียณ แห่งพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผู้เป็นขุมทรัพย์ทางปัญหาของวงการศึกษาไทย ครูผู้คิดค้นเทคนิควิธีการสอนและแก้ปัญหาการเรียนรู้ของเด็กทุกรูปแบบ โดยยึด “ศิษย์” เป็น “ครู” ในการปรับปรุงและพัฒนาเทคนิคการสอนมาตลอดชีวิตการเป็นครู จนเป็นต้นแบบของการสอนแบบ “บูรณาการ” คนแรกๆของไทย ผู้อุทิศชีวิตหลังเกษียณ เพื่อการ “สร้างครู” ด้วยการขยายแนวคิดเทคนิควิธีการสอนแก่ครูทั่วประเทศ  
 
เบื้องหลังแห่งความสำเร็จในชีวิตการเป็นครู ของทั้ง 2 คน พวกเขาต้องเสียสละและทุ่มเทเพื่อลูกศิษย์มากน้อยเพียงใด และตลอดชีวิตของการเป็นครู ทั้งคู่ต่างดำรงวิถีชีวิต “ความเป็นครู” ในรูปแบบไหน อย่างไร ถึงมีดอกผลที่งดงามอย่างทุกวันนี้ ติดตามได้รายการคนค้นฅน ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เดอะซีรีย์ ตอนที่ 1 “ครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2558 เวลา 22.00 น. ทาง ช่อง 9 MCOT HD และโมเดิร์นไนน์ทีวี


วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทีวี: พิษภัยใกล้ตัวสำหรับเด็กเล็ก

โทรทัศน์หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าทีวีนั้น เป็นเครื่องรับสัญญาณคลื่นความความรู้ ข่าวสาร และความบันเทิงมาทุกยุกทุกสมัย ภาพครอบครัวที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาหน้าจอทีวีนั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่สังคมอาจมองว่าเป็นการสร้างความอบอุ่นและสัมพันธภาพที่ดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว บางครอบครัวมีเครื่องทีวีประจำในห้องนอนของลูกๆ พอเด็กๆ ตื่นนอนก็ต้องเปิดทีวีเป็นอันดับแรก หรือบางบ้านมีลูกน้อยกำลังหัดคลานหัดเดินก็ปล่อยไว้หน้าจอทีวีด้วยเชื่อว่าเด็กจะได้เห็นตัวการ์ตูนในทีวีเป็นเพื่อนไปพลางๆ ในขณะที่พ่อแม่ต้องทำภาระกิจอื่น


เนื่องจากช่วงเด็กแรกเกิดจนถึง 3 ปี จะเป็นช่วงที่เรียนรู้ภาษา, ทักษะทางสังคมและร่างกายมีพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด โครงสร้างและการทำงานของสมองมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในตัวเด็กเองและสิ่งแวดล้อมที่เด็กเรียนรู้ล้วนมีผลต่อความยืดหยุ่นของสมอง (brain plasticity) ที่จะเป็นตัวเบ้าหลอมโครงสร้างและการทำงานของสมองในอนาคตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การรับชมทีวีจึงมีผลต่อการเรียนรู้เด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



Dr Aric Sigman ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น Associate Fellow of the British Psychological Society ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาที่ศึกษาผลของทีวีต่อสุขภาพมาเป็นเวลานานได้แถลงต่อคณะสมาชิกวุฒิสภาของสหราชอาณาจักรในการประชุมที่จัดโดยองค์กรด้านสื่อสารมวลชน Mediawatch-UK
โดยผลเสียของการดูทีวีที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน ได้แก่ รูปแบบการนอนหลับที่ผิดปกติ (irregular sleep pattern) ลดอัตราเผาผลาญพลังงานในขณะพัก (resting metabolic rate) จนอาจทำให้เกิดโรคอ้วน เวลาที่เด็กพูดกับผู้ใหญ่ลดน้อยลง เด็กมีทักษะทางสังคมแย่ลง และที่สำคัญคือเด็กมีสมาธิ (concentration) และความจดจ่อ (attention) แย่ลง จนอาจทำให้เกิดโรคความจดจ่อเสื่อมหรือสมาธิสั้น (attention deficit hyperactivity disorder) และทีวีอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคออติซึมโดยเมื่อปลายปีที่แล้ว Cornell University, Indiana University และ Purdue University ได้ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการดูทีวีและการเกิดอาการออติซึมในเด็กอเมริกัน

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพในจอทีวีที่เคลื่อนไหวค่อนข้างเร็วจะลดความสามารถของเด็กในการจดจ่อสนใจ ขาดสมาธิในการเรียนรู้ นอกจากนี้ทีวียังมีแสงสว่างจ้า สีสรรมากเกินไป เต็มไปด้วยตัวกระตุ้นเทียมที่ไม่มีจริงในชีวิตตามธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการพัฒนาสมองทั้งในด้านโครงสร้างและหน้าที่การทำงานซึ่งจะส่งผลในระยะยาวเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่

ข้อเสนอของ Dr Aric Sigman
เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี ไม่ควรให้ดูทีวี
เด็กอายุ 3-7 ปี ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 30-60 นาทีต่อวัน
เด็กอายุ 7-12 ปี ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง
เด็กอายุ 12-15 ปี ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง
เด็กอายุ 16 ปีขึ้นไป ควรให้ดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง


ทีวีเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเกือบจะทุกบ้าน ให้สาระและความบันเทิงและเป็นเพื่อนคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน รายการทีวีในเมืองไทยมีส่วนช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยมากน้อยเพียงใด ผู้ปกครองสนใจอิทธิพลของทีวีที่มีต่อลูกหลานตัวเองหรือไม่ อย่าปล่อยให้เด็กเล็กอยู่หน้าจอทีวีตลอดเลยครับ พาพวกเขาไปเรียนรู้ธรรมชาตินอกบ้าน สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น ถึงแม้เรายังไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าทีวีเป็นตัวการทำลายสุขภาพเด็ก แต่การจำกัดช่วงเวลาการดูทีวีและส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่หลากหลายก็จะช่วยให้สมองของลูกรักได้มีการเรียนรู้อย่างสมดุลและป้องกันปัญหาที่ตัวเราคาดไม่ถึงได้


แหล่งข้อมูล http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=neuroguy&group=2

แนะนำหนังสือดี สำหรับครู "80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ"

หนังสือดีที่ควรศึกษา...
  • มี 80 นวัตกรรมที่ใช้ทำผลงานวิชาการได้
     
  • มีผลงานวิจัยรองรับนวัตกรรม มากกว่า 400 เรื่อง
     
  • มีรายการอ้างอิงที่ถูกต้อง มากกว่า 2,000 รายการ
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.champ108.com/chaiwat/

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ขายฝัน Windows Sharepoint Service 3.0 โรงเรียนวังใหญ่วิทยาคม

               พอดีวันนี้เพิ่งเซตเครื่องเสร็จ ร้อนวิชาเกรดค่อยกรอกละกัน อิอิ
              สืบเนื่องจากการทำงานในสำนักงานปัจจุบันนั้นต้องศัยระบบคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เช่น งานด้านเอกสารสารพัดเป็นต้น หลายครั้งเราก็ต้องติดต่อคนโน้นคนนี้เดินไปข้อข้อมูลโน้นนี่นั้น ใหนจะต้องทำรายงานอีกให้สาธยายสามวันก็คงไม่จบไม่สิ้นมั่งครับ ส่วนมากจากการสังเกตุซอฟต์แวร์ที่เราใช้ๆกันก็คงหนี้ไม่พ้นชุดโปรแกรมสำนักงาน word excel powerpoint อะไรพวกนี้
            Collaboration แปลโดยตรงก็คือ การทำงานร่วมกัน ร่วมมือกันอะไรประมาณนี้ ในปัจจุบันมีชุดโปรแกรมที่ตอบสนองการทำงานร่วมกันเช่น  ของกูเกิลก็ Google Docs ของไมโครซอฟต์ก็ Office 365 ซึ่งทำงานผ่านระบบคราวด์ที่จะต้องเชื่อมต่ออินเตอร์(ที่มีประสิทธิภาพสูง) ตลอดเวลาจึงจะทำงานได้ดีอันนี้คือแนวโน้มในปัจจุบันที่ผมโดนไปอบรมมาหลายครั้ง แต่ก็อย่างว่าระบบการสื่อสารในสภาพแวดล้อมธรรมชาติอย่างบ้านเราก็คงต้องบอกว่ายังอีกไกล ใหนจะสไตล์การทำงานของระบบราชการไทยอีกที่ผมมองว่าแค่นี้ก็ใช้งานครูหนักแล้วนี่กะไม่ให้พักผ่อนกันเลยรึ(anytime anywhere) นอกเรื่องไปไกลเลย อิอิ
           กลับมาที่บริบทของเราดีกว่าเนอะ แน่นอนว่าคุณครูทุกท่านต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานวันๆหนึ่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์(อยู่แล้ว)  ผมสมมติเหตุการณ์ดีกว่า เช่น
           ผู้อำนวยการมอบหมายให้เขียนรายงานส่งเขตพื้นที่ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ล่ะ 1 เล่ม 5 บทโดยให้ครูที่รับผิดชอบท่านหนึ่งรวบรวมข้อมูลแล้วสรุปส่งมาอะไรประมาณนี้
           เป็นธรรมดาที่มหกรรมการของไฟล์สารพัดก็จะเกิดขึ้น อิรุงตุงนังกว่าจะรวมเป็นเล่มเป็นไฟล์เดียวมันก็ งง ไปหมด ใหนกรอกตรงนั้น  ใหนแก้ตรงนี้ บางทีต้องปริ้นออกมา เอ้าเอาไปแก้ใหม่อยู่ร่ำไปหน่ายชีวิต(ปานประหนึ่งว่าวันนึงไม่มีคาบสอน อิอิ)
ขอบคุณภาพจาก http://www.blogcdn.com

           คราวนี้ลองจินตนาการว่า มีโปรแกรมที่สร้างห้องขึ้นมาหนึ่งห้อง หรือไฟล์ 1 ไฟล์แล้วทุกคนก็ช่วยๆกันเข้าไปแก้ไขไฟล์นั้นไฟล์เดียว ช่วยกันอ่าน ช่วยกันดู ใครว่างๆก็ช่วยกันจัด ผอ. ก็สามารถเปิดไฟล์นั้นดูไปด้วย จะช่วยกันพิมพ์ก็ไม่ว่า พอกด save ปั๊บไฟล์นั้นก็ update ทันทีภาษาคอมเรียกมัน ซิงค์กัน  นอกจากนั้นยัสามารถถกประเด็นกันได้ผ่าน Discussion Board ได้....
          ทั้งหมดนี้เปลืองเซลล์สมองหน่อยตรงต้องจำ username กับรหัสผ่านเพิ่มอีกนิดอิอิ ส่วนอื่นๆก็
ใช้ Internet Explore กับ Office 2007 เท่านั้นเอง
ปล. กำลังทดลองใช้งานเหมือนกันครับ :)
ครูเมธา
           
       

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

จับกระบวนการ ภาระงาน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดการประเมินผลมากองให้นักเรียนในรูปแบบ Web Quest

             ทักษะสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับผู้เรียนในยุคปัจจุบันคือ ทักษะในการเรียนรู้ และการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง การรู้จักใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทักษะเหล่านี้จำเป็นจะต้องได้รับการฝึกฝนผ่านกระบวนการการจัดการเรียนการสอนต่างๆ
             ยุคของสื่อในรูปแบบตำรากำลังจะหมดไปแล้ว นักเรียนจำเป็นที่จะต้องมี และใช้สื่ออุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อสร้างองค์ความรู้ของตัวเองให้ได้นั้นเอง กระบวนการหนึ่งที่น่าสนใจคือ วิธีการของบทเรียนแสวงรู้ หรือ Web Quest นั้นเอง

WebQuest คืออะไร
ตอบแบบง่ายๆคือ สื่อการสอนรูปแบบหนึ่งนั้นเอง เว็บเควส สามารถอยู่ในรูปแบบต่างๆกันเช่น อาจเป็นเพียงกระดาษธรรมดา หรือ สไลด์ powerpoint หรืออยู่ในรูปแบบเว็บไซต์ก็ได้

Concept ของเว็บเควส คืออะไร
เว็บเควส ใช้วิธีการสอนแบบสืบสวนสอบสวน คือ ครูไม่ได้บอกสอนหรือให้เนื้อหากับนักเรียนตรงๆแต่เน้นให้นักเรียนเข้าไปหาความรู้มาเองนักเรียนจะได้ฝึกทักษะการเรียนรู้ตรงนี้

ความน่าสนใจ คืออะไร
เว็บเควสเป็นบทเรียนที่มีกระบวนการทุกอย่างจบด้วยตัวเองในตัวคือ นักเรียนจะทราบว่า
- ทำลังจะเรียนเรื่องอะไร
- มีจุดประสงค์อย่างไร
- นักเรียนต้องทำภารกิจงานอะไรบ้าง
- นักเรียนมีแหล่งข้อมูลจากใหนบ้าง(ครูเตรียมไว้หมดแล้ว)
- นักเรียนรู้การประเมินผลด้วยว่าต้องทำงานในระดับใหนได้คะแนนเท่าไหร่(Rubrics Score)

ลองดูตัวอย่างเว็บเควสในรูปแบบ powerpoint คลิกที่นี่

ความท้าทาย
เนื่องจากผู้เขียนกำลังใช้สื่อการสอนแบบ E-learning แต่กระบวนการสอนนั้นยังใช้เป็นแบบผสมผสานยังไม่มีทิศทางแน่นอน ซึ่งจุดเด่นของระบบ E-learning คือมีระบบบริหารการเรียนการสอน เช่น การส่งงาน การส่งการบ้าน การสอบเก็บคะแนนอยู่แล้วดังนั้นหานำมาผสมกับรูปแบบการนำเสนอของเว็บเควสคงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก




วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

คุณจะต้องไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น Google Classroom จาก Google App for Education พร้อมใช้งานแล้วที่วังใหญ่วิทยาคม

ลองมาดูหน้าตา และการใช้งานเบื้องต้นกันดีกว่าว่าทำอะไรได้บ้าง
ขอบคุณ Phuttarak Mulmuang เจ้าของวิดิโอดีๆครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ออนไลน์อย่างไร ไม่ผิดกฏหมายลิขสิทธิ์

           การใช้ เข้าถึงและผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ในปัจจุบันเป็นไปอย่างแพร่หลาย ในขณะเดียวกันทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกเผยแพร่นั้นจำเป็นจะต้องมีกฏหมายคุ้มครอง ในวันที่ 4 สิงหาคม นี้ พรบ สิขสิทธิ์ฉบับแก้ไขปรับปรุง 2558 ที่มีเจตนาเพื่อควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านสื่อออนไลน์ก็จะถูกบังคับใช้แล้วด้วย และเราจะต้องระมัดระวังในการใช้ข้อมูลอย่างไรลอง คลิกที่ลิงค์จาก it 24 ชั่วโมงอ่านดูเลยจ้า http://www.it24hrs.com/2015/question-copyright-online/

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สังเกตุห้องคอมที่เปลี่ยนไปเมื่อใช้ E-learning

มีที่มาอย่างไร
            ท้าวความส่วนตัวถึงความเป็นมาเป็นไปก่อนที่จะนำระบบ LMS มาใช้อย่างจริงจังในาคเรียนรกของปีการศึกษาใหม่นี้ ส่วนตัวผมรู้จักระบบแบบนี้สมัยเรียนอยู่แต่ก็ไม่ได้มีแนวคิดว่าจะใช้จริงจังเพียงแต่รู้ว่ามันทำงานอย่างไรเท่านั้นเอง แต่กลับมาเข้าหัวอีกครัั้งเมื่อมีโอกาสเข้าอบรมโครงการของ สพฐ ที่จังหวัดพิษณุโลกก่อนหน้านั้นก็ยายามใช้สื่อที่เป็นสื่อออนไลน์ในการถ่ายทอดเนื้อหาให้กับนักเรียนแต่ประสบปัญหาด้านทรัพยากรสัญญาณอินเตอร์เน็ตเพราะโรงเรียนก็อยู่ไกลปืนเที่ยงพอสมควรเลยมองว่าระบบที่เป็น intranet น่าจะเหมาะกับโรงเรียนมากกว่าจึงเริ่มค่อยๆปรับรื้อระบบเครือข่ายของโรงเรียนให้เหมาะสมทันทีแต่ก็ใช้เวลานานอยู่ในการปฏิบัติจริง แต่เนื่องากได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างไม่คาดฝันก็เกิดไอเดียตัดสินใจดำเนินการทันที่โดยตั้งใจใช้ในรายวิชาที่ตัวเองสอนอยู่ให้ทุกรายวิชาเลย แล้วค่อยๆพยายามชักชวนคุณครูท่านอื่นๆทีหลัง

ลุยสร้าง Content
               เพราะว่าสื่อที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ต้องเป็นสื่อดิจิตลอทั้งหมดดังนั้นภารกิจที่ต้องทำตลอดปิดเทอมเดือนเมษายนคือ การเตรียมเนื้อหาแบบฝึก การบ้าน ข้อสอบ ในทุกรายวิชาให้พร้อมไว้ก่อนโดยระยะแรกนี้กะว่าอย่างน้อยก็ขอให้มีสื่อที่เป็น text กับรูปภายก่อนก็ยังดีอนาคตค่อยๆเพิ่มสื่อที่เป็นมัลติมีเดียที่หลังเพราะมีความซับซ้อนและใช้เวลาเตรียมมาก

ปฏิบัติจริง พบนักเรียนยังขาดทักษะหลายอย่าง
               คำว่าทักษะการเรียนรู้ที่สอนกันไม่ได้ เข้ามาให้เห็นต่อหน้าทันที นักเรียนยังออกอาการมึนๆว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง ใหนจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเรียนด้วยระบบใหม่อีกซึ่งต้องใช้สองสัปดาห์แรกสำหรับการสร้างความเข้าใจ และทักษะการใช้งานระบบพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่เช่น การดาวน์โหลดเอกสารอ่าน การทำการบ้าน การส่งงาน การทำข้อสอบ การเข้าดูคะแนนของตนเอง แต่นักเรียนก็เริ่มชินกับระบบอย่างรวดเร็ว(คงเพราะสภาพบังคับรึปล่าวนะ)สมกับเป็นนักเรียนในยุคศตวรรษที่ 21 เลยจริง และอีกสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำว่านักเรียนยังขาดทักษะในการเรียนรู้คือ คำถามในช่วงแรกๆที่ลอยมาว่า ผมต้องทำอะไรต่อ ต้องไปตรงใหน ต้องคลิกตรงใหน ต้องเข้าดูตรงนี้รึปล่าว ทำเสร็จแล้วส่งเลยมั๊ย และอีกมากมายซึ่งส่วนตัวผมแปลกใจมากเพราะคิดว่านักเรียนต้องชินอยู่แล้วเพราะมันอยู่ในรูปแบบเว็บไซต์ที่พวกเค้ากดคลิกท่องไปโดยไม่ต้องมีใครบอก แต่แปลกมากพออยู่ในห้องเรียนนักเรียนเราไม่กล้าทำอะไรเลยขาดความมั่นใจสุดๆ ซึ่งเราต้องคอยกระตุ้นเรื่อยๆว่านักเรียนมีหน้าอะไร และจะทำอะไรก็ได้ปัญหานี้ก็ค่อยๆลดลงไปอีกหลังผ่านสองสัปดาห์ไปแล้วเพราะนักเรียนคุ้นเคยกับระบบมากขึ้น

ห้องเรียนที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เรียนคอมพิวเตอร์ แต่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเรียน
              สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงคือ เราสอนเนื้อหาน้อยลงแต่ต้องตอบคำถามมากขึ้นซึ่งแรกๆก็คือคำถามเกี่ยวกับการใช้ระบบ หลังๆมาเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาซึ่งถ้าเราเห็นว่าข้อมูลนี้นักเรียนควรสามารถหาเองได้เราก็ส่งเสริมไป ที่เพิ่มขึ้นมาคือนักเรียนบางคนจะรู้จักค้นคำตอบเพิ่มเองจากแหล่งข้อมูลภายนอกจากที่เราเตรียมไว้ให้ในระบบ(อันนี้ค่อนข้างปลื้ม)
              ผู้เรียนมีเวลาเรียนมากขึ้น แน่นอนเพราะเราเตรียมเนื้อหาไว้ในระบบแล้วที่เหลือก็คือคอยกระตุ้นให้นักเรียนเข้าเรียนและหาคำตอบ หรือถามคำถามซึ่งหวังว่าจะเจอคำถามมากขึ้นกว่านี้อีกนะในอนาคต

บทเรียนที่คาดว่าจะมีคนได้รับ
              ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัวรึปล่าวที่คิดว่า นักเรียนไม่ค่อยสู้เมื่อต้องเจอกับปัญหายากๆเลย พวกเค้ามักร้องขอให้ออกจทย์ง่ายๆ และเมื่อเจอปัญหาก็เลือกที่จะไปทำอย่างอื่นๆและไม่สนใจเอาดื้อๆ ซึ้งเมื่อครูกระตุ้นแล้วยังละเลยตัดสินใจว่าจะปล่อยให้เป็นบทเรียนเรื่องผลการเรียเพราะต้องไม่ลืมว่าเราไม่ได้ใช้ตำราเรียนที่ถูกจัดให้โดยใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักนักเรียนของเราเลยเราเลยมีอิสระเต็มที่ที่จะเลือกระดับของนื้อหา ระดับความยากง่ายของภาระงานให้เหมาะสมและปรับเปลี่ยนได้ตอดนในอนาคตเพราะต้องย้ำกับนักเรียนเสมอว่านักเรียนสามารถรู้คะแนนของตัวเองตลอดเวลา นักเรียนรู้ว่ามีงานที่ต้องทำกี่งานในระบบ(ข้อดีอย่างนึงที่ชอบระบบนี้)

รายวิชาที่ดิ้นได้
              ถึงจะเตรีถึงจะเตรียมยมเนื้อหาไว้แล้วทั้งหมดตอนปิดเทอมแต่เมื่อมาสอนจริงและพบว่าเนื้อหาบางอย่าง หรือภาระงานบางอย่างยังไม่เหมาะกับนักเรียนหรือสถานการณ์นั้นๆเราก็ต้องปรับเปลี่ยนตลอดผมเลยเลือกที่จะค่อยๆทะทยอยเปิดเนื้อหาทีละส่วนแทนที่จะเปิดให้นักเรียนเรียนทั้งหมดไปเลยแต่ก็พิจารณาว่าในระดับชั้นสูงซึ่งคาดว่าน่าจะพร้อมและมีความรับผิดชอบสูงก็มอบให้นักเรียนเรียนรู้ได้อย่างเสรี เราก็ค่อยๆลดบทบาทของตัวเองลง ซึ่งคิดว่าระบบนี้จริงๆเหมาะกับชั้นสูงๆอย่าง ม ปลาย มากๆ เพราะต้องไม่ลืมว่าเราไม่ได้ใช้ตำราเรียนที่ถูกจัดให้โดยใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักนักเรียนของเราเลยเราเลยมีอิสระเต็มที่ที่จะเลือกระดับของนื้อหา ระดับความยากง่ายของภาระงานให้เหมาะสมและปรับเปลี่ยนได้ตอด

งานที่เพิ่มขึ้น(นิดหน่อย)
             เพราะว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นำมาให้บริการก็เป็นเครื่อง Desktop ธรรมดาราคาไม่แพงมากทำให้ต้องระวังเรื่องความน่าเชื่อถือของระบบภารกิจที่เพิ่มขึ้นมาคือการคอยสำรองข้อมูลสำคัญ อย่างเช่น ฐานข้อมูล และไฟล์ของเว็บไว้ทุกวัน
การวิจัย สิ่งที่คาดว่าจะทำ
            ได้แรงบัลดาลใจซะทีว่าจะทำวิจัยเรื่องอะไร อันที่จริงระบบ ObecLMS  ก็เป็นสื่อการเรียนรู้อย่างหนึ่งเท่านั้นถึงอย่างไรเสียครูก็ยังเป็นบุคคลสำคัญที่ต้องคอยอำนวยความสะดวกและกระตุ้นผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆสื่อเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกอย่างหนึ่งเท่านั้น
             
ความคาดหวังสูงสุด
             ระบบ LMS นั้นถูกออกแบบโดยพยายามจำลองการเรียนการสอนแบบปรกติดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะนำไปใช้ได้กับทุกรายวิชา เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาผ่านสื่อการสอนชนิดต่างๆกัน ใช้ความสามารถของระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยอำนวยความสะดวก เช่น สื่อการสอนแบบมัลติมีเดีย เป็นต้น มีระบบที่ช่วยเรื่องการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน กับผู้สอน หรือภายในชั้นเรียน เช่น ระบบแชท ระบบกระดานสนทนา เป็นต้น ความคาดหลังสำหรับระบบที่ติดตั้งระบบครั้งนี้ คือ มีรายวิชาอื่นๆที่หลากหลายเข้ามาใช้งาน ทั้งนี้ก็เป็นไปตามแนวโน้มของการศึกษาในปัจจุบันที่ต้องพึงพาเทคโนโลยีมากขึ้นๆนั้นเอง

คงได้มีโอกาสมาแบ่งปันกันอีกครั้งนะครับ
 เมธา เขียน

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พระบรมราโชวาท และ พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ

พระบรมราโชวาท และ พระราชดำรัส
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความเจริญของประเทศชาติ เป็นความเจริญส่วนรวม ซึ่งเกิดจากผลงานหรือผลของการกระทำของ
คนทั้งชาติ ถือได้ว่าทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำประโยชน์ให้แก่ชาติ ตามความถนัดและความสามารถ และเกื้อกูล
กันและกัน ไม่มีผู้ใดจะอยู่ได้และทำงานให้แก่ประเทศชาติได้โดยลำพังตนเอง
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2513)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
บ้านเมืองของเรากำลังต้องการการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ทางที่เราจะช่วยกันได้
ก็คือ การที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมาย ต้องเพลาการ
คิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว และความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง
(พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2543)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ถ้าทุกคนสนใจในความรักประเทศชาติ รักษาความดีเอาไว้ ไม่ต้องไปตามอย่างในสิ่งที่เราเห็นว่า
ไม่น่าที่จะเจริญไม่น่าจะพัฒนา เราต้องรักษาแนวทางความคิดตามที่เรามีอยู่ แม้จะเป็นสิ่งที่ตกทอดมาแต่
โบราณกาลจากปู่ย่าตายายของเรา แต่เป็นระเบียบการหรือเป็นวิธีการที่ดี จะไม่ล้าสมัย
(ในโอกาสเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร 13 มีนาคม 2514)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การมีเสรีภาพนั้น เป็นของที่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และความ
รับผิดชอบ มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพ
และความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย
(พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ 9 กรกฎาคม 2514)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ในการปฏิบัติราชการนั้น ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัลหรือผลประโยชน์ให้
มาก ขอให้ถือว่าการทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ จะทำให้บ้านเมืองไทย
ของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง
(เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2533)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย
ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก
คนเราก็อยู่เป็นสุข
(พระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย 4 ธันวาคม 2541)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การดำเนินชีวิตโดยใช้วิชาการอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องอาศัยความรู้รอบตัวและหลัก
ศีลธรรมประกอบด้วย ผู้ที่มีความรู้ดีแต่ขาดความยั้งคิด นำความรู้ไปใช้ในทางมิชอบ ก็เท่ากับเป็นบุคคล
ที่เป็นภัยแก่สังคมของมนุษย์
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18 กันยายน 2504)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความคิดนั้นเป็นแม่บทใหญ่ของการพูดและการกระทำ เพราะกิจที่จะทำคำที่จะพูดทุกอย่างล้วน
สำเร็จมาจากความคิด การคิดก่อนพูดและก่อนทำจึงช่วยให้หบุคคลสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้ง
การกระทำที่ไม่ถูกต้อง
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คนไม่มีความสุจริต คนไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวม
ที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณประโยชน์
แท้จริงได้สำเร็จ
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 12 กรกฎาคม 2522)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การดำรงชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทน
เป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมี
ชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ
(พระราชทานแก่ครูและนักเรียน โรงเรียนจิตรลดา 27 มีนาคม 2523)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สัจจะวาจา นั้นเป็นรากฐานของการทำงาน หรือการดำรงชีวิตที่ดีที่งามที่มีความก้าวหน้า มี
ความสำเร็จ สัจ เป็นการตั้งใจ ตั้งจิตใจ วาจา เป็นคำพูดออกมา แสดงถึงคำพูดนั้นต้องออกมาจากใจ คือ
เป็นการตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อความสำเร็จในงานนั้น
(ในโอกาสที่ผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรมเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ 18 มีนาคม 2525)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ผู้หนักแน่นในสัจจะ พูดอย่างไรทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธา เชื่อถือ
และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือพูดจริงทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการ
ส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมาก ไม่ค่อยชอบปิดทอง
หลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย
พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 กรกฎาคม 2506)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ประเพณีทั้งหลายย่อมมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน เรามีประเพณีของชาติไทยเป็น
สมบัติ เราควรจะยินดีอย่างยิ่งและช่วยกันส่งเสริมรักษาไว้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 21 เมษายน 2503)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และโบราณสถานทั้งหลายเป็นของมีคุณค่า และจำเป็นแก่การศึกษาค้นคว้า
ในทางประวัติศาสตร์ศิลปะโบราณคดี เป็นการแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาติไทย ที่มีมาแต่อดีต ควร
สงวนรักษาไว้ให้คงทนถาวร เป็นสมบัติส่วนรวมของชาติไว้ตลอดกาล
(ในพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 26 ธันวาคม 2504)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การสร้างงานศิลปะทุกอย่างทุกประเภท นอกจากจะต้องใช้ความฝึกหัดชัดเจนในทางปฏิบัติ
ประกอบกับวิธีการที่ดีอย่างเหมาะสมแล้ว ศิลปินจำต้องมีความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจในงานที่ทำด้วย
จึงจะได้ผลงานที่มีค่าควรแก่การยอมรับนับถือ
(ในพิธีเปิดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 21 8 กันยายน 2515)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
งานด้านการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมนั้น คืองานสร้างสรรค์ความเจริญทางปัญญาและทางจิตใจ
ซึ่งเป็นทั้งต้นเหตุทั้งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของความเจริญด้านอื่นๆทั้งหมด และเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้เรา
รักษาและดำรงความเป็นไทยไว้ได้สืบไป
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร 12 ตุลาคม 2513)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง
คือเป็นทางสำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งสวยงามอย่างหนึ่ง เช่น ในทางวรรณคดีเป็นต้น ฉะนั้น
จึงจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี
(ในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 29 กรกฎาคม 2505)
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สามัคคี คือการเป็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิธีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วยการ
เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแย่งตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมนั้นคือ
ความมั่นคงของบ้านเมือง
(ในพิธีประดับยศนายตำรวจชั้นนายพล 15 มกราคม 2519)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การที่คนสมัยใหม่บอกว่าคนสมัยเก่ามีความรู้น้อยก็อาจเป็นจริง แล้วคนสมัยใหม่ดูถูกหรือเหยียด
หยามคนสมัยเก่าก็มีสิทธิ์ แต่ถ้าพูดตามความจริงแล้ว สิทธิ์ที่จะเหยียดหยามคนรุ่นเก่าไม่ควรจะมี ด้วยเหตุว่า
คนรุ่นเก่านี้เองทำให้คนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาได้
(พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าฯเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2531)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สามัคคีหรือการปรองดองกัน ไม่ได้หมายความว่าคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง คนอื่นต้องพูดเหมือนกัน
หมด ลงท้ายชีวิตก็ไม่มีความหมาย ต้องมีความแตกต่างกัน แต่ต้องทำงานให้สอดคล้องกัน แม้จะขัดกันบ้างก็
ต้องสอดคล้องกัน
(พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่างๆในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2536)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การทำงานใหญ่ๆ ทุกอย่างต้องการเวลามากกว่าจะทำสำเร็จ ผู้ที่เริ่มโครงการอาจไม่ทันทำให้
สำเร็จโดยตลอดด้วยตนเองก็ได้ ต้องมีผู้อื่นรับทำต่อไป ดังนั้นไม่ควรยกเอาเรื่องใครเป็นผู้ริเริ่มงาน ใครเป็น
ผู้รับช่วงงาน ขึ้นเป็นข้อสำคัญนัก จะต้องถือผลสำเร็จที่จะเกิดจากงานเป็นใหญ่
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร 14 ตุลาคม 2514)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ในการปฏิบัติงานนั้น ย่อมมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไข อย่าทิ้งไว้พอก
พูนลุกลามจนแก้ยาก ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้ ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกันคิด
ช่วยกันแก้หลายๆคนหลายๆทาง ด้วยความร่วมมือปรองดองกัน
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 กรกฎาคม 2533)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การจะทำงานให้มีประสิทธิผลและให้ดำเนินไปได้โดยราบรื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำด้วยความ
รับผิดชอบอย่างสูง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือนจุดประสงค์ที่แท้จริงของงานสำคัญที่สุดต้องเข้าใจ
ความหมายของคำว่า ความรับผิดชอบ ให้ถูกต้อง
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 16 กรกฎาคม 2519)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ต่างคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำเฉพาะหน้าที่นั้น เพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่เฉพาะ
ของตัวโดยไม่มองไม่แลคนอื่น งานก็ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่างานทุกงานจะต้องพาดพิงกันจะต้องเกี่ยว
โยงกัน ฉะนั้นแต่ละคนจะต้องมีความรู้ถึงงานของผู้อื่นแล้วช่วยกันทำ
(พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าฯเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2533)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ถ้าทำงานด้วยความตั้งใจที่จะให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่ คือความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ ด้วยความ
สุจริตและด้วยความรู้ความสามารถด้วยจริงใจ ไม่นึกถึงเงินทองหรือนึกถึงผลประโยชน์ใดๆก็เป็นการทำหน้าที่
โดยตรงและได้ทำหน้าที่โดยเต็มที่
(พระราชทานแก่ ศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ 13 ธันวาคม 2511)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การที่จะให้งานประสานกันนั้นมีหลักสำคัญอยู่ว่า ทุกฝ่ายจะต้องไม่แบ่งแยกกัน ไม่แย่งประโยชน์
ไม่แย่งความชอบกัน แต่ละฝ่ายแต่ละคนต้องทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลสำเร็จในการทำงานเป็น
ใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งอื่น
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ 10 กุมภาพันธ์ 2522)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
เมื่อมีโอกาสและมีงานให้ทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็น
เครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆนั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่ มีความ
ขยันซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา 8 กรกฎาคม 2530)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางที่จะแก้ไขได้ ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกันคิดช่วยกันแก้
หลายๆคน หลายๆ ทางด้วยความร่วมมือปรองดองกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจักได้ไม่กลายเป็นอุปสรรคขัดขวาง
และบั่นทอนทำลายความเจริญและความสำเร็จของการงาน
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 กรกฎาคม 2533)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คนไทย รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน เป็นปึกแผ่นมั่นคงมาได้ ด้วยสติปัญญาความสามารถ และด้วย
คุณความดี อิสรภาพ เสรีภาพ ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนความเจริญ ทุกอย่างที่มีอยู่บัดนี้ เราทั้งหลายใน
ปัจจุบัน จึงต้องถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบอย่างสำคัญ ในอันที่จะรักษาคุณความดี พร้อมทั้งจิตใจที่เป็นไทยไว้
ให้มั่นคงตลอดไป
(ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธี เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค.2521)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ชาติบ้านเมือง คือ ชีวิต เลือดเนื้อ และสมบัติของเราทุกคน และการดำรงรักษาชาติประเทศนั้น มิใช่
หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใด โดยเฉพาะ หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกๆ ฝ่ายทุกๆคน ที่จะต้องร่วมมือกระทำ
พร้อมกันไปโดยสอดคล้องเกื้อกูลกัน
(ในพิธีตรวจพลสวนสนาม เนื่องในโอกาสพระราชพิธีรัชดาภิเษก 8 มิ.ย.2514)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความจงรักภักดีต่อชาตินั้น คือความสำนึกตระหนักในคุณของแผ่นดิน อันเป็นที่เกิดที่อาศัย
ซึ่งทำให้บุคคลเกิดความภูมิใจในชาติกำเนิด และมุ่งมั่นที่จะธำรงรักษา ประเทศชาติไว้ ให้เป็นอิสระมั่นคง
ตลอดไป
(ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณและสวนสนาม ของทหารรักษาพระองค์ ณ ลานพระราชวังดุสิต 3 ธ.ค.2529)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
บรรพชนไทย เป็นนักต่อสู้ ผู้มีชีวิตจิตใจผูกพันปรองดอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามัคคีพร้อม
เพรียงกันทุกเมื่อ ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด บ้านเมืองไทยจึงมีเอกราชอธิปไตย และมีความสุขความสมบูรณ์
ทุกอย่างมาจนกระทั่งทุกวันนี้
(ในพิธีสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ 3 ธ.ค.2522 ณ ลานพระราชวังดุสิต)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสามัคคีปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับความรักใคร่เผื่อแผ่ช่วยเหลือกันฉันญาติพี่น้อง
สองประการนี้ คือคุณลักษณะสำคัญของไทย ที่ช่วยให้ชาติบ้าน เมืองอยู่รอดเป็นอิสระ และเจริญมั่นคง มา
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
(พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2532)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสามัคคี เป็นคุณสมบัติประจำตัวของคนไทย ที่ได้อบรมสืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษโดย
ไม่ขาดสาย ทั้งนี้ เพราะคนไทย ทราบตระหนักว่า หมู่คณะที่มีความ สามัคคีแน่นแฟ้นสมบูรณ์ ย่อมมีกำลัง
กล้าแข็งทั้งในการคิดและการปฏิบัติ
(พระราชทานในการประชุมใหญ่ สามัคคีสมาคม 26 ก.ค.2534)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
บ้านเมืองไทย สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆได้โดยดี เพราะว่าจิตใจสามัคคีและแสดงออก
ซึ่งสามัคคี ถ้าตราบใดเรารักษาความสามัคคี ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ไว้ได้ เราก็จะอยู่ได้อย่าง
มีความสุขตราบนั้น
(พระราชทานแก่คณะประชาชน จ.ราชบุรี พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 26 พ.ย.2531)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ผู้ที่จะรักษาความเป็นไทยได้มั่นคงที่สุด ดี และเหมาะสมที่สุด ไม่มีใครอื่นนอกจากคนไทย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งใด คนไทยมีหน้าที่ต้องรักษาความเป็นไทย เสมอ
(พระราชทานแก่สมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่น 27 ก.พ. 2537)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ชาติบ้านเมืองประกอบด้วยนานาสถาบัน อันเปรียบได้กับอวัยวะทั้งปวง ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต
ร่างกาย ชีวิตร่างกายดำรงอยู่ได้ เพราะอวัยวะใหญ่น้อยทำงานเป็นปรกติพร้อมกันอย่างไร ชาติบ้านเมือง
ก็ดำรงอยู่ได้ เพราะสถาบันต่างๆตั้งมั่นและปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยพร้อมมูลอย่างนั้น
(พระราชทานแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และ อาสาสมัครพลเรือนในพิธีตรวจพลสวนสนาม
เนื่องในโอกาสงานพระราชพิธีรัชดาภิเษก 8 มิ.ย.2514)
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การจะพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างให้เจริญนั้นจะต้องสร้างและเสริมขึ้นจากพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ก่อนทั้งสิ้น
ถ้าพื้นฐานไม่ดีหรือคลอนแคลนบกพร่องแล้ว ที่จะเพิ่มเติมเสริมต่อให้เจริญขึ้นไปอีกนั้น ยากนักที่จะทำได้
จึงควรจะเข้าใจให้แจ้งชัดว่า นอกจากจะมุ่งสร้างความเจริญแล้ว ยังต้องพยายามรักษาพื้นฐานให้มั่นคง
ไม่บกพร่อง พร้อมๆ กันไปด้วย
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ จุฬาฯ 10 ก.ค.2523)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสามัคคีและความถือตัวว่าเป็นไทยนี้ เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด เพราะเป็นมรดกที่ตกทอดมาจาก
บรรพบุรุษของเรา และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารวมกันอยู่ได้ ให้เราดำรงชาติประเทศและเอกราชสืบมาได้
ทุกคนควรจะได้พยายามรักษาความเป็นไทย และความสามัคคีนี้ไว้ให้มั่นคงในที่ทุกแห่ง อย่ายอมให้สิ่งหนึ่ง
สิ่งใดมาทำลายได้
(พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในงานชุมนุมประจำปี ของสมาคมนักเรียนไทยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน 1 ก.ย.2526)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การดำเนินชีวิตโดยใช้วิชาการอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องอาศัยความรู้รอบตัวและหลัก
ศีลธรรมประกอบด้วย ผู้ที่มีความรู้ดี แต่ขาดความยั้งคิด นำความรู้ไปใช้ในทางมิชอบก็เท่ากับเป็นบุคคล
ที่เป็นภัยแก่สังคมของมนุษย์
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18 ก.ย.2504)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คุณธรรมข้อหนึ่งที่ยังมีอยู่อย่างบริบูรณ์ในจิตใจของคนไทยก็คือ การให้ การให้นี้ไม่ว่าจะให้สิ่งใด
แก่ผู้ใด โดยสถานใดก็ตาม เป็นสิ่งที่พึงประสงค์อย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีอย่างสำคัญระหว่าง
บุคคลกับบุคคล และให้สังคมมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นด้วยสามัคคีธรรม
(เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2545)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และ
ครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่
ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย
(เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2502)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและประชาชนโดยทั่วไป มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอดเนื่องจาก
ความวิปริตผันแปรของวิถีแห่งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่นๆ ของโลก ยากยิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงให้พ้น
ได้ จึงต้องระมัดระวัง ประคับประคองตัวเรามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นอยู่ โดยประหยัดเพื่อที่จะอยู่
ให้รอดและก้าวหน้าต่อไปได้โดยสวัสดี
(เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2521)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง ความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วย
ความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบัง
มาจากผู้อื่น
(ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษกทรงครองราชย์ครบ 50 ปี)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกินพอใช้
ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา
เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่
สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น 20 ธ.ค. 2516)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือน
เสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมาก
มองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มซะด้วยซ้ำไป
(จากวารสารชัยพัฒนา ประจำเดือนสิงหาคม 2542)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วย
ไมตรีจิต มิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็นสุข น่าอยู่
(เพื่ออัญเชิญลงพิมพ์ในนิตยสารที่ระลึกครบ 36 ปี ของสโมสรไลออนส์กรุงเทพฯ 31 มี.ค.38)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การงานทุกอย่างทุกอาชีพ ย่อมจะมีจรรยาบรรณของตนเอง จรรยาบรรณนั้นจะบัญญัติเป็นลาย
ลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม แต่เป็นสิ่งที่ยึดถือกันว่าเป็นความดีงาม ที่คนอาชีพนั้นพึงประพฤติปฏิบัติหากผู้ใด
ล่วงละเมิด ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งแก่บุคคล หมู่คณะ และส่วนรวมได้
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยมหิดล ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร 4 ก.ค. 40)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความเจริญของคนทั้งหลาย ย่อมเกิดมาจากประพฤติชอบและการหาเลี้ยงชีพชอบ เป็นหลักสำคัญ
ผู้ที่จะสามารถประพฤติชอบและหาเลี้ยงชีพชอบได้ด้วยนั้น ย่อมจะมีทั้งวิชาความรู้ ทั้งหลักธรรมทางศาสนา
เพราะสิ่งแรกเป็นปัจจัยสำหรับใช้กระทำการทำงาน สิ่งหลังเป็นปัจจัยสำหรับส่งเสริมความประพฤติ และการ
ปฏิบัติงานให้ชอบ คือให้ถูกต้องและเป็นธรรม
(พระราชทานแก่ครูโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม 4 จังหวัดภาคใต้ จ. ปัตตานี 24 ส.ค. 19)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การทำงานใหญ่ ๆ ทุกอย่าง ต้องการเวลามากกว่าจะทำสำเร็จ ผู้ที่เริ่มโครงการอาจทำไม่สำเร็จ
โดยตลอดด้วยตนเองก็ได้ ต้องมีผู้อื่นรับทำต่อไป ดังนั้นไม่ควรยกเอาเรื่องใครเป็นผู้เริ่มงาน ใครเป็นผู้รับช่วง
งานขึ้นเป็นข้อสำคัญ จะต้องถือผลสำเร็จที่จะเกิดจากงานเป็นใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งอื่น
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยศิลปากร 14 ต.ค. 14)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การมีเสรีภาพนั้นเป็นของดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและความ
รับผิดชอบ มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น ที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพ
และความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย มิฉะนั้น จะทำให้มีความยุ่งยาก จะทำให้สังคมและชาติประเทศ
ต้องแตกสลายจนสิ้นเชิง
(แถลงการณ์ สภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) เรื่อง
การใช้เสรีภาพเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ เนื่องในวันนักข่าว 5 มีนาคม 2550)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การกีฬานั้น นอกจากจะให้ความสนุกสนานและความสมบูรณ์แก่ร่างกายแล้วยังให้ผลดีทางจิตใจ
ได้อย่างมากมาย นักกีฬาที่ได้รับการฝึกหัดอบรมอย่างดีแล้วย่อมมีใจแน่วแน่ ตัดสินใจได้รวดเร็ว มีความเพียร
พยายามไม่ท้อถอย และมีความหนักแน่นรู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักให้อภัย ผู้มีใจเป็นนักกีฬา จึงเป็นผู้ที่มี
ประโยชน์ต่อสังคม และน่าคบหาสมาคมด้วยอย่างยิ่ง
(ในพิธีเปิดการแข่งขันกรีฑาประจำปี 2507 ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ กรมพลศึกษา วันศุกร์ 27 พ.ย.2507)

พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็กเพราะว่าต่อไป ถ้ามีชีวิตที่ลำบากไป
ประสบอุปสรรคใดๆ ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้ เพราะว่าถ้าไปเจอ
อุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้แต่ถ้ามีความรู้ มีอัธยาศัยที่ดี และมีความเข้มแข็ง ในกาย ในใจ
ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ นั้นได้
(พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต วันศุกร์ 31 ต.ค.2518)

พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
วิถีชีวิตมนุษย์นั้น จะให้มีแต่ความปรกติสุขอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีทุกข์ มีภัยมีอุปสรรค
ผ่านเข้ามาด้วยเสมอ ยากจะหลีกเลี่ยงพ้น ข้อสำคัญอยู่ที่ ทุกๆคนจะต้องเตรียมกายเตรียมใจ และเตรียมการ
ไว้ให้พร้อมทุกเวลา เพื่อเผชิญและแก้ไขความไม่ปรกติเดือดร้อน(ทั้ง)นั้นด้วยความไม่ประมาท ด้วยเหตุผล
ด้วยหลักวิชา และด้วยสามัคคีธรรม จึงจะผ่อนหนักให้เป็นเบาและกลับร้ายให้กลายเป็นดีได้
(พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2528 วันจันทร์ 31 ธ.ค.2527)

พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ถ้าถูกแดดถูกฝน อนามัยแข็งแรงก็ไม่เป็นอะไร ทำให้แข็งแกร่งจิตใจก็เหมือนกัน เมื่อประสบ
อุปสรรคและสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เราก็ขุ่นหมองแต่ถ้าจิตใจเราแข็งแรง แข็งแกร่งดี อุปสรรคนั้นจะทำให้
สามารถที่จะทำให้มีอำนาจจิตดีขึ้นมีกำลังใจมากขึ้น สิ่งที่เป็นอุปสรรค สิ่งที่ทำให้เราขุ่นเคืองใจ ไม่เป็น
ผลร้ายต่อตัวเรากลับทำให้ใจเราแข็งแกร่งแข็งแรง
(ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทรงดนตรีเป็นการส่วนพระองค์
ณ หอประชุม มธ. วันเสาร์ 7 มี.ค.2513)

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสงบหนักแน่นเป็นเครื่องผ่อนปรนระงับความรุนแรง ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจในกันและกัน
ได้ทุกกรณี โดยเฉพาะความสงบหนักแน่นในจิตใจนั้น ทำให้เกิดความยั้งคิดพิจารณาตามเหตุตามผล จึงช่วย
ให้สามารถขบคิดวินิจฉัยเรื่องราวปัญหาและกระทำได้ถูกต้องพอเหมาะพอดี มีประสิทธิผล
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร วันพฤหัสบดี 2 ก.ค. 2535)

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
จิตใจและความประพฤติที่สะอาดและมีระเบียบ เป็นรากฐานสำคัญของชีวิตทั้งจิตใจทั้งความ
ประพฤติดังนั้นใช่จะเกิดมีขึ้นเองได้ หากแต่จำต้องฝึกหัดอบรมและสนับสนุนส่งเสริมกันอย่างจริงจังสม่ำเสมอ
นับตั้งแต่บุคคลเกิด ดังที่มนุษย์ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ได้เฝ้าพยายามกระทำสืบต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้
เพื่อให้สามารถรักษาตัวและมีความสุข ความสำเร็จในการครองชีวิต ทั้งให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ด้วย
ความผาสุกสงบ
(พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในพิธีเปิดสัมมนาเรื่อง การพัฒนาสังคมในด้านศีลธรรมและจิตใจ ซึ่งสภาสังคม
สงเคราะห์แห่งประเทศไทยจัดให้มีขึ้น เมื่อวันเสาร์ 15 ธ.ค.2516)

พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การศึกษาเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญยิ่งของมนุษย์ คนเราเมื่อเกิดมาก็ได้รับการสั่งสอนจากบิดา
มารดา อันเป็นความรู้เบื้องต้น เมื่อเจริญเติบโตขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของครูและอาจารย์สั่งสอนให้ได้รับวิชา
ความรู้สูงและอบรมจิตใจให้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม เพื่อจะได้เป็นพลเมืองดีของชาติสืบต่อไป
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตและนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา วันพฤหัสบดี 13 ธ.ค.2505)

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สังคมและบ้านเมืองใด ให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วน ล้วนพอเหมาะกันทุก ๆ ด้าน
สังคมและบ้านเมืองนั้น ก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถธำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้
และพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปได้โดยตลอด ผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาทุกๆคนจึงต้องถือว่า ตัวของท่านมีความ
รับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองอยู่อย่างเต็มที่ในอันที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เที่ยงตรง ถูกต้อง สมบูรณ์โดยเต็ม
กำลัง จะประมาทหรือละเลยมิได้
(พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนที่ได้รับพระราชทานรางวัลฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันจันทร์ 27 ก.ค.2524)

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
หลักของคุณธรรม คือการคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ก่อนจะพูดจะทำสิ่งไร จำเป็นต้องหยุดคิด
เสียก่อน เพื่อรวบรวมสติให้ตั้งมั่น และให้จิตสว่างแจ่มใส ซึ่งเมื่อฝึกหัดจนคุ้นเคยชำนาญแล้วจะกระทำได้
คล่องแคล่ว ช่วยให้สามารถแสดงความรู้ ความคิด ในเรื่องต่างๆ ให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ได้ชัด ไม่ผิดทั้งหลัก
วิชาทั้งหลักคุณธรรม
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันศุกร์ 10 ก.ค.2535)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม เป็นการศึกษาที่สำคัญ และควรจะดำเนินควบคู่กันไปกับการศึกษา
ด้านวิทยาศาสตร์ เพราะความเจริญของบุคคล ตลอดจนถึงความเจริญของประเทศและของโลกโดยส่วนรวม
ด้วยนั้น มีทั้งทางวัตถุและจิตใจ ความเจริญทั้งสองทางนี้ จะต้องมีประกอบกัน เกื้อกูลและส่งเสริมกันพร้อม
มูล จึงจะเกิดความเจริญที่แท้จริงได้ประเทศทั้งหลายจึงต่างพยายามส่งเสริมการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมนี้
พร้อมกันไปกับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันศุกร์ 10 ก.ค.2535)

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การทำความดีนั้น โดยมากเป็นการเดินทวนกระแสความพอใจและความต้องการของมนุษย์
จึงทำได้ยาก และเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ ความชั่ว ซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่
แล้วจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว
(ในพิธีพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรแก่ว่าที่ร้อยตำรวจตรีฯ รร.นายร้อยตำรวจฯ วันจันทร์ 10 มี.ค.2529)

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความจริงใจต่อผู้อื่นเป็นคุณธรรมสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จและความเจริญ เพราะ
ช่วยให้สามารถขจัดปัดเป่าปัญหาได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาอันเกิดจากความกินแหนงแคลงใจ
และเอารัดเอาเปรียบกัน นอกจากนั้น ยังทำให้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจ และความร่วมมือสนับสนุนจาก
ทุกคนทุกฝ่าย ที่ถือมั่นในเหตุผลและความดี ผู้มีความจริงใจจะทำการสิ่งใดก็มักสำเร็จได้โดยราบรื่น
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันเสาร์ 11 ก.ค.2535)

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การมีวินัย มีความสามัคคี และรู้จักหน้าที่ ถือกันว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญประจำตัวของคนทุกคน
แต่ในการสร้างเสริมคุณสมบัติ 3 ข้อนี้ จะต้องไม่ลืมว่า วินัย สามัคคี และหน้าที่นั้น เป็นได้ทั้งในทางบวกและ
ทางลบ ซึ่งย่อมให้คุณหรือให้โทษได้มากเท่าๆ กัน ทั้ง 2 ทาง เพราะฉะนั้น เมื่อจะอบรม จำเป็นต้องพิจารณา
ให้ถ่องแท้แน่ชัดก่อนว่า เป็นวินัยสามัคคีและหน้าที่ดีคือ ปราศจากโทษ เป็นประโยชน์ เป็นธรรม
(พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ วันอังคาร 12 ก.ค.2526)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความรู้ในวิชาการ เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ และทำให้เป็นคนที่มีเกียรติ
เป็นคนที่สามารถ เป็นคนที่จะมีความพอใจได้ในตัวว่า ทำประโยชน์แก่ตนเองและแก่ส่วนรวม นอกจากวิชา
ความรู้ ก็จะต้องฝึกฝนในสิ่งที่ตัวจะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับสังคม สอดคล้องกับสมัยและสอดคล้องกับ
ศีลธรรมที่ดีงาม ถ้าได้ทั้งวิชาการ ทั้งความรู้รอบตัว และความรู้ในชีวิต ก็จะทำให้เป็นคนที่ครบคน
ที่จะภูมิใจได้
(พระราชทานเนื่องในโอกาสวันปิดภาคเรียนของโรงเรียนจิตรลดา วันเสาร์ 25 มี.ค.2515)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความคิดนั้นสำคัญมาก ถือได้ว่าเป็นแม่บทใหญ่ของคำพูดและการกระทำทั้งปวง กล่าวคือ
ถ้าคนเราคิดดี คิดถูกต้อง ทั้งตามหลักวิชาและคุณธรรม คำพูดและการกระทำก็เป็นไปในทางที่ดีที่เจริญ
แต่ถ้าคิดไม่ดีไม่ถูกต้อง คำพูดและการกระทำก็อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งแก่ตัวเองและส่วนรวมได้
ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่บุคคลจะพูดจะทำสิ่งใด จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อนว่า กิจที่จะทำ คำที่จะพูดนั้น ผิดหรือถูก
เป็นคุณประโยชน์หรือเป็นโทษเสียหาย เป็นสิ่งที่ควรพูด ควรกระทำ หรือควรงดเว้น เมื่อคิดพิจารณาได้ดังนี้
ก็จะสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พูดและทำแต่สิ่งที่จะสัมฤทธิ์ผลเป็นคุณ
เป็นประโยชน์ และเป็นความเจริญ
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์วิทยาลัย วันพุธ 9 ก.ค.2540)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ในการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการงาน ย่อมจะต้องมีปัญหาต่างๆ เป็นอุปสรรค ขัดขวาง
ความสำเร็จอยู่เสมอ ยากที่ผู้ใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะหลีกเลี่ยงพ้นได้ คนก็มีปัญหาของคน สังคมก็มีปัญหา
ของสังคม ประเทศก็มีปัญหาของประเทศ แม้กระทั่งโลกก็มีปัญหาของโลก ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตและ
กิจการงานจึงเป็นเรื่องธรรมดา ข้อสำคัญเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะต้องแก้ไขให้ลุล่วงไปโดยไม่ชักช้า ผู้ใด
มีสติปัญญาคิดได้ดี ปฏิบัติได้ถูก ผู้นั้นก็มีหวังบรรลุถึงเป้าหมาย มีความสำเร็จสูง ถ้าเป็นตรงกันข้าม ก็ยาก
ที่จะประสบความสำเร็จสมหวังได้
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันพุธที่ 31 ก.ค.2539)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
งานทุกอย่างมีบุคคลซึ่งมีชีวิตจิตใจ มีความนึกคิดเป็นผู้กระทำ ถ้าผู้ทำมีจิตใจไม่พร้อมจะทำงาน
เช่น ไม่ศรัทธาในงาน ไม่สนใจผูกพันกับงาน ผลงานที่ทำก็ย่อมบกพร่อง ไม่คงที่ ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติมีศรัทธา
เข้าใจซึ้งถึงประโยชน์ของงาน พร้อมใจและพอใจที่จะขวนขวายปฏิบัติงานโดยเต็มกำลังความสามารถ
งานจึงจะดำเนินไปได้โดยราบรื่น และบรรลุผลตามที่มุ่งหมาย
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันเสาร์ 10 ก.ค.2536)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การรู้จักประมาณตน ได้แก่ การรู้จักและยอมรับว่าตนเองมีภูมิปัญญาและความสามารถด้านไหน
เพียงใด และควรจะทำงานด้านไหน อย่างไร การรู้จักประมาณตนนี้ จะทำให้คนเรารู้จักใช้ความรู้
ความสามารถที่มีอยู่ได้ถูกต้อง เหมาะสมกับงาน และได้ประโยชน์สูงสุดเต็มตามประสิทธิภาพ ทั้งยังทำให้
รู้จักขวนขวายศึกษาหาความรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์อยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงส่งเสริมศักยภาพที่มีอยู่ใน
ตนเองให้ยิ่งสูงขึ้น
(พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันเสาร์ 18 ก.ค. 2541)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้น ที่จะให้เป็นไปโดยราบรื่น ปราศจากปัญหาข้อขัดแย้ง ย่อมเป็นไปได้ยาก
เพราะคนจำนวนมากย่อมมีความคิดความต้องการที่แตกต่างกันไป มากบ้างน้อยบ้าง ท่านจะต้องรู้จักอดทน
และอดกลั้น ใช้ปัญญา ไม่ใช้อารมณ์ ปรึกษากัน และโอนอ่อนผ่อนตามกันด้วยเหตุผล โดยถือว่าความคิด
ที่แตกต่างกันนั้น มิใช่เหตุที่จะทำให้เป็นข้อขัดแย้ง โต้เถียง เพื่อเอาแพ้เอาชนะกัน แต่เป็นเหตุสำคัญที่จะ
ช่วยให้เกิดความกระจ่างแจ้ง ทั้งในวิถีทางและวิธีการปฏิบัติงาน
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันพฤหัสบดี 17 ธ.ค.2541)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
เป็นความจริงอยู่โดยธรรมดา ที่บุคคลในสังคมนั้นย่อมมีอัชฌาสัยจิตใจแตกต่างเหลื่อมล้ำกัน
เป็นหลายระดับ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานภูมิธรรมของตน บางคนก็มีความคิดจิตใจสูง มีความประพฤติปฏิบัติดีงาม
เป็นคุณเป็นประโยชน์อยู่แล้วเป็นปกติ แต่บางคนก็ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ เพราะยังไม่เห็นคุณค่าของ
การปฏิบัติดี จึงมักก่อปัญหาให้เกิดแก่สังคมคนเรานั้น สำคัญอยู่ที่ควรจะได้ปรารภปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเอง
ให้ดีขึ้นเป็นลำดับ เพื่อให้ชีวิตเป็นสุข และเจริญรุ่งเรือง
(พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 16 วันเสาร์ 30 พ.ค. 2524)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับสภาวะแวดล้อม อันเนื่องมาจากมลพิษ หรือความเสื่อมโทรมของ
ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่หนึ่งที่ใดก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงที่อื่นๆ ด้วยเหตุนี้
ทุกคนทุกประเทศในโลกจึงย่อมมีส่วนรับผิดชอบอยู่ด้วยกัน ทั้งในการแก้ไข ลดปัญหา และปรับปรุงสร้าง
เสริมสภาวะแวดล้อมให้กลับคืนมาสู่สภาพอันจะเอื้อต่อการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขของตนเองและเพื่อนมนุษย์
(พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึก ในพิธีรับมอบเรือขจัดคราบน้ำมัน
ซึ่งรัฐบาลเดนมาร์กน้อมเกล้าฯ ถวาย วันพุธ 20 พ.ย.2539)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ทุกวันนี้ ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้อมมูล ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคล ซึ่งเรา
สามารถนำมาใช้เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ และเสถียรภาพอันถาวรของบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ข้อสำคัญ
เราต้องรู้จักใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฉลาด คือไม่นำมาทุ่มเทใช้ให้สิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์ หรือได้
ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หากแต่ระมัดระวังใช้ด้วยความประหยัดรอบคอบ ประกอบด้วยความคิดพิจารณาตามหลัก
วิชา เหตุผล และความถูกต้องเหมาะสม โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ ทั้งในปัจจุบัน
และอนาคตอันยืนยาว
(ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันศุกร์ 5 ธ.ค. 2529)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้ จะต้องอยู่เป็นหมู่คณะ และถ้าหมู่คณะนั้นมีความสามัคคี คือเห็นอกเห็นใจ
ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือในทุกเมื่อ ช่วยกันคิดว่าสิ่งใดสมควร สิ่งใดไม่สมควร สิ่งใดที่จะทำให้นำมาสู่ความ
เจริญ ความมั่นคง ความสุขก็ทำ สิ่งใดที่นำมาซึ่งหายนะหรือเสียหายก็เว้น และช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ทางกาย
ทั้งหน้าที่ทางใจ
(พระราชทานในพิธีพระราชทานธงประจำรุ่นลูกเสือชาวบ้าน จ.สระบุรี วันศุกร์ที่ 16 เม.ย.2519)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การที่ในประเทศใดมีประชาชนทั้งหมดอยู่ร่วมกันโดยสันติ ก็เป็นสิ่งที่ปรารถนาของทุกคนไม่มีใคร
อยากให้มีความวุ่นวายในหมู่คณะในประเทศชาติ เพราะว่าถ้ามีความวุ่นวายนั้นเป็นความทุกข์ ทุกคนต้องการ
ความสุข หากความสุขนั้นก็จะมาจากความปรองดอง และความที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดยยุติธรรม
(ในโอกาสที่รองประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำกระทรวงเข้าเฝ้าฯ วันพุธที่ 21 ธ.ค.2537)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสามัคคีนั้น อาจหมายความถึงเห็นชอบเห็นพ้องกันโดยไม่แย้งกัน ความจริงงานทุกอย่าง
หรือการอยู่เป็นสังคมย่อมต้องมีความขัดแย้งกัน ความคิดต่างกัน ซึ่งไม่เสียหาย แต่อยู่ที่จิตใจของเรา
ถ้าเราใช้หลักวิชาและความปรองดองด้วยการใช้ปัญญา การแย้งต่างๆ ย่อมเป็นประโยชน์ ถ้ามีรากฐาน
ของความคิดอย่างเดียวกัน รากฐานของความคิดนั้นคือ แต่ละคนจะต้องทำให้บ้านเมืองมีความสุข
มีความเป็นปึกแผ่น
(พระราชทานแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ วันอังคาร 29 ต.ค.2517)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คนไทย รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน เป็นปึกแผ่นมั่นคงมาได้ ด้วยสติปัญญาความสามารถ และด้วย
คุณความดี อิสรภาพ เสรีภาพ ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนความเจริญทุกอย่างที่มีอยู่บัดนี้ เรา
ทั้งหลายในปัจจุบัน จึงต้องถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบอย่างสำคัญ ในอันที่จะรักษาคุณความดี พร้อมทั้ง
จิตใจที่เป็นไทยไว้ให้มั่นคงตลอดไป
พระราชดำรัส ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธี เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค.2521)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ชาติบ้านเมือง คือ ชีวิต เลือดเนื้อ และสมบัติของเราทุกคน และการดำรงรักษาชาติประเทศนั้น มิใช่
หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใด โดยเฉพาะ หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกๆฝ่ายทุกๆคน ที่จะต้องร่วมมือ
กระทำ พร้อมกันไปโดยสอดคล้องเกื้อกูลกัน
พระบรมราโชวาท ในพิธีตรวจพลสวนสนาม เนื่องในโอกาสพระราชพิธีรัชดาภิเษก 8 มิ.ย.2514)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความจงรักภักดีต่อชาตินั้น คือความสำนึกตระหนักในคุณของแผ่นดิน อันเป็นที่เกิดที่อาศัย ซึ่งทำ
ให้บุคคลเกิดความภูมิใจในชาติกำเนิด และมุ่งมั่นที่จะธำรงรักษาประเทศชาติไว้ ให้เป็นอิสระมั่นคง
ตลอดไป
พระบรมราโชวาท ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณและสวนสนาม ของทหารรักษาพระองค์ ณ ลาน 
พระราชวังดุสิต 3 ธ.ค.2529)
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
บรรพชนไทย เป็นนักต่อสู้ ผู้มีชีวิตจิตใจผูกพันปรองดอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามัคคีพร้อม
เพรียงกันทุกเมื่อ ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด บ้านเมืองไทยจึงมีเอกราชอธิปไตยและมีความสุขความ
สมบูรณ์ทุกอย่างมาจนกระทั่งทุกวันนี้
พระบรมราโชวาท ในพิธีสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ 3 ธ.ค.2522 ณ ลานพระราชวังดุสิต)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสามัคคีปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับความรักใคร่เผื่อแผ่ช่วยเหลือกันฉันญาติพี่น้อง
สองประการนี้ คือคุณลักษณะสำคัญของไทย ที่ช่วยให้ชาติบ้านเมืองอยู่รอดเป็นอิสระ และเจริญ
มั่นคง มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2532)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความสามัคคี เป็นคุณสมบัติประจำตัวของคนไทย ที่ได้อบรมสืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษโดยไม่
ขาดสาย ทั้งนี้ เพราะคนไทย ทราบตระหนักว่า หมู่คณะที่มีความสามัคคีแน่นแฟ้นสมบูรณ์ ย่อมมี
กำลังกล้าแข็งทั้งในการคิดและการปฏิบัติ
พระบรมราโชวาท พระราชทานในการประชุมใหญ่ สามัคคีสมาคม 26 ก.ค.2534)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
บ้านเมืองไทย สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆได้โดยดี เพราะว่าจิตใจสามัคคีและแสดงออกซึ่ง
สามัคคี ถ้าตราบใดเรารักษาความสามัคคีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันไว้ได้ เราก็จะอยู่ได้อย่างมี
ความสุขตราบนั้น
(พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะประชาชน จ.ราชบุรี พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 26 พ.ย.2531)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ผู้ที่จะรักษาความเป็นไทยได้มั่นคงที่สุด ดี และเหมาะสมที่สุด ไม่มีใครอื่นนอกจากคนไทย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งใด คนไทยมีหน้าที่ต้องรักษาความเป็นไทยเสมอ
(พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่สมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่น 27 ก.พ. 2537)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความเจริญของประเทศชาติเป็นความเจริญส่วนรวม ซึ่งเกิดจากผลของการกระทำของคนทั้งชาติ
ถือได้ว่าทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำประโยชน์ให้แก่ชาติ ตามความถนัดและความสามารถ และเกื้อกูลกัน
และกันไม่มีผู้ใดจะอยู่ได้และทำงานให้แก่ประเทศชาติได้โดยลำพังตนเอง
(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์ 
มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2513)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
บ้านเมืองของเรากำลังต้องการการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็
คือ การที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมายต้องเพลา
คิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว และความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง
(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2543)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ถ้าทุกคนสนใจในความรักประเทศชาติ รักษาความดีเอาไว้ ไม่ต้องไปตามอย่างในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่
น่าที่จะเจริญ ไม่น่าจะพัฒนา เราต้องรักษาแนวทางความคิดตามที่เรามีอยู่ แม้จะเป็นสิ่งที่ตกทอดมา
แต่โบราณกาลจากปู่ย่าตายายของเรา แต่เป็นระเบียบการหรือวิธีการที่ดีจะไม่ล้าสมัย
(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเสด็จไปทรงเยี่ยมวิทยาลัยวิชาการศึกษา 
ประสานมิตร 13 มีนาคม 2514)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การมีเสรีภาพนั้นเป็นของที่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและความ
รับผิดชอบ มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิ
ภาพ และความเป็นปรกติสุขของส่วนรวมด้วย
(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ 9 กรกฎาคม 2514)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ในการปฏิบัติราชการนั้น ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัล หรือผลประโยชน์ให้
มาก ขอให้ถือว่าการทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ จะทำให้บ้าน
เมืองไทยของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง
(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2533)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้า
ทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องเพียงพอ หมายความว่าพอประมาณไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก
คนเราก็อยู่เป็นสุข
(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่บุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย 
4 ธันวาคม 2541)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การดำเนินชีวิตโดยใช้วิชาการอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องอาศัยความรู้รอบตัวและหลัก
ศีลธรรมประกอบด้วย ผู้ที่มีความรู้ดีแต่ขาดความยั้งคิด นำความรู้ไปใช้ในทางมิชอบ ก็เท่ากับเป็น
บุคคลที่เป็นภัยแก่สังคมมนุษย์
(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ 
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18 กันยายน 2504)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ความคิดนั้นเป็นแม่บทใหญ่ของการพูดและการกระทำ เพราะกิจที่จะทำคำที่จะพูด ทุกอย่างล้วน
สำเร็จมาจากความคิด การคิดก่อนพูดและก่อนทำจึงช่วยให้บุคคลสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร
หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์ 
มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คนไม่มีความสุจริต คนไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่
สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็น
คุณประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของ 
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 12 กรกฎาคม 2522)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การดำเนินชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทน
เป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทนก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้วไม่มีทาง
ที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ
(พระบรมราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ครูและนักเรียนโรงเรียนจิตรลดา 27 มีนาคม 2523)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สัจวาจา นั้นเป็นรากฐานของการทำงาน หรือการดำรงชีวิตที่ดีที่งามที่มีความก้าวหน้ามีความสำเร็จ
สัจ เป็นการตั้งใจ ตั้งจิตใจ วาจาเป็นคำพูดออกมา แสดงถึงคำพูดนั้นต้องออกมาจากใจ คือเป็นการ
ตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อความสำเร็จในงานนั้น
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่ผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรมเฝ้าฯ 
ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ 18 มีนาคม 2525)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ผู้หนักแน่นในสัจจะ จะพูดอย่างไรทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธา
เชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำคือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัย
สำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของ 
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมาก ไม่ค่อยชอบปิดทอง
หลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลัง
พระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ 
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 กรกฎาคม 2506)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ประเพณีทั้งหลายย่อมมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน เรามีประเพณีของชาติไทยเป็น
สมบัติ เราควรจะยินดีอย่างยิ่งและช่วยกันส่งเสริมรักษาไว้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ 
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 21 เมษายน 2503)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและโบราณสถานทั้งหลาย เป็นของมีคุณค่าและจำเป็นแก่การศึกษาค้นคว้า
ในทางประวัติศาสตร์ศิลปโบราณคดี เป็นการแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาติไทยที่มีมาแต่อดีต
ควรสงวนรักษาไว้ให้คงทนถาวร เป็นสมบัติของชาติไว้ตลอดกาล
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา 
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 26 ธันวาคม 2504)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การสร้างงานศิลปทุกประเภท นอกจากจะต้องใช้ความฝึกหัดชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับ
วิธีการที่ดีอย่างเหมาะสมแล้ว ศิลปินจำต้องมีความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจในงานที่ทำด้วย จึงจะได้
ผลงานที่มีค่าควรแก่การยอมรับนับถือ
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีเปิดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 21 8 กันยายน 2515)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
งานด้านการศึกษาศิลปและวัฒนธรรมนั้น คืองานสร้างสรรค์ความเจริญทางปัญญาและทางจิตใจ
ซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของความเจริญด้านอื่นๆทั้งหมด และเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้
เรารักษา และดำรงความเป็นไทยไว้ได้สืบไป
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ 
มหาวิทยาลัยศิลปากร 12 ตุลาคม 2513)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือ
เป็นทางสำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่ง เช่น ในทางวรรณคดีเป็นต้น
ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย 
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 29 กรกฎาคม 2505)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สามัคคี คือการเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิธีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็งด้วยการ
เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์
ส่วนรวม เพราะประโยชน์ส่วนรวมนั้นคือความมั่นคงของบ้านเมือง
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีประดับยศนายตำรวจชั้นนายพล 15 มกราคม 2519)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การที่คนสมัยใหม่บอกว่าคนสมัยเก่ามีความรู้น้อยก็อาจเป็นจริง แล้วคนสมัยใหม่ดูถูกหรือเหยียด
หยามคนสมัยเก่าก็มีสิทธิ์ แต่ถ้าพูดตามความจริงแล้ว สิทธิ์ที่จะเหยียดหยามคนรุ่นเก่า ไม่ควรจะมี
ด้วยเหตุว่าคนรุ่นเก่านี้เองทำให้คนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาได้
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าเนื่องใน 
โอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2531)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
สามัคคีหรือการปรองดองกันไม่ได้หมายความว่าคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง คนอื่นต้องเหมือนกันหมด
ลงท้ายชีวิตก็ไม่มีความหมาย ต้องมีความแตกต่างกัน แต่ต้องทำงานให้สอดคล้องกัน แม้จะขัดกัน
บ้างก็ต้องสอดคล้องกัน
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่บุคคลต่างๆในโอกาสวันเฉลิมพระ 
ชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2536)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การทำงานใหญ่ๆทุกอย่างต้องการเวลามาก กว่าจะทำสำเร็จ ผู้ที่เริ่มโครงการอาจไม่ทัน ทำให้
สำเร็จโดยตลอดด้วยตนเองก็ได้ ต้องมีผู้อื่นรับทำต่อไป ดั้งนั้น ไม่ควรยกเอาเรื่องใครเป็นผู้เริ่มงาน
ใครเป็นผู้รับช่วงงาน ขึ้นเป็นข้อสำคัญนัก จะต้องถือผลสำเร็จที่จะเกิดจากงานเป็นใหญ่
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ 
มหาวิทยาลัยศิลปากร 14 ตุลาคม 2514)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ในการปฏิบัติงานนั้น ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไข อย่าทิ้งไว้ให้พอก
พูนลุกลามจนแก้ยาก ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกัน
คิดช่วยกันแก้หลายๆคนหลายๆทาง ด้วยความร่วมมือปรองดองกัน
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์ 
มหาวิทยาลัย 13 กรกฎาคม 2533)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การจะทำงานให้มีประสิทธิผลและให้ดำเนินไปได้โดยราบรื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำด้วยความ
รับผิดชอบอย่างสูง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือนจุดประสงค์ที่แท้จริงของงาน สำคัญที่สุดต้อง
เข้าใจความหมายคำว่า ความรับผิดชอบ ให้ถูกต้อง
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ 
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 16 กรกฎาคม 2519)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ต่างคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำเฉพาะหน้าที่นั้นเพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่เฉพาะ
ของตัวโดยไม่มองไม่แลคนอื่น งานก็ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่างานทุกงานจะต้องพาดพิงกัน
จะต้องเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้น แต่ละคนจะต้องมีความรู้ถึงงานของผู้อื่นแล้วช่วยกันทำ
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าฯเนื่องใน 
โอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2533)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ถ้าทำงานด้วยความตั้งใจที่จะให้งานเกิดผลอันยิ่งใหญ่ คือความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ ด้วย
ความ สุจริตและด้วยความตั้งใจที่จะแผ่ความรู้ความสามารถด้วยจริงใจ ไม่นึกถึงเงินทองหรือนึกถึง
ผลประโยชน์ใดๆก็เป็นการทำหน้าที่โดยตรงและได้ทำหน้าที่โดยเต็มที่
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ ศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ 
13 ธันวาคม 2511)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
การที่จะให้งานประสานกันนั้นมีหลักสำคัญอยู่ว่า ทุกฝ่ายจะต้องไม่แบ่งแยกกัน ไม่แย่งประโยชน์
ไม่แย่งความชอบกัน แต่ละฝ่ายแต่ละคนต้องทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลสำเร็จในการงาน
เป็นใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งอื่น
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของสถาบัน 
เทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ 10 กุมภาพันธ์ 2522)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
เมื่อมีโอกาสและมีงานให้ทำ ควรเต็มใจโดยไม่จำต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่อง
กีดขวาง คนที่ทำงานจริงๆนั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่ มีความขยัน
และซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัย 
เทคโนโลยีและอาชีวศึกษา 8 กรกฎาคม 2530)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางที่จะแก้ไขได้ ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกันคิดช่วยกันแก้
หลายๆคน หลายๆทางด้วยความร่วมมือปรองดองกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจักได้ไม่กลายเป็นอุปสรรค
ขัดขวาง และบั่นทอนทำลายความเจริญและความสำเร็จของการงาน
(พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์ 
มหาวิทยาลัย 13 กรกฎาคม 2533)

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
หนังสือเป็นเสมือนคลังที่รวบรวมเรื่องราว ความรู้ ความคิด วิทยาการทุกด้านทุกอย่าง ซึ่งมนุษย์ได้
เรียนรู้ ได้คิดอ่าน และเพียรพยายามบันทึกภาษาไว้ด้วยลายลักษณ์อักษร หนังสือแพร่ไปถึงที่ใด
ความรู้ความคิดก็แพร่ไปถึงที่นั่น หนังสือจึงเป็นสิ่งมีค่าและมีประโยชน์ที่จะประมาณมิได้ในแง่ที่เป็น
บ่อเกิดการเรียนรู้ของมนุษย์

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
คุณธรรม 4 ประการ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ประชาชนชาว
ประกอบด้วย
ประการแรก คือการรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง รู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อ
ประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง ประพฤติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
ประการที่สอง คือการรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัจ ความดี
ประการที่สาม คือการอดทน อดกลั้น และอดออม ไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุ
ประการใด
ประการที่สี่ คือการรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต
คุณธรรม 4 ประการนี้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว จะ
ช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้า
ต่อไปได้ดังประสงค์
ถ้าไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง เวลาไฟดับ...
จะพังหมด จะทำอย่างไร ที่ที่ต้องใช้ไฟฟ้าก็ต้องแย่ไป
...หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่
ถ้าเรามีเครื่องปั่นไฟ ก็ใช้ปั่นไฟ
หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน
คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ
...ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ก็มีเป็นขั้น ๆ
แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้
ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้
จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน
...พอเพียงในทฤษฎีหลวงนี้ คือ ให้สามารถที่จะดำเนินงานได้
ที่มา http://www.rtafa.ac.th/edu/kingspeech.html